โรคปริทันต์อักเสบ กับโรคหัวใจเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
โรคปริทันต์อักเสบไม่ได้กระทบแค่เหงือกและฟัน แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง งานวิจัยจำนวนมากชี้ว่า ผู้ที่มีโรคปริทันต์อักเสบรุนแรงมีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงขึ้น

ปัจจุบันมีหลักฐานทางการแพทย์ชัดเจนว่า **โรคปริทันต์อักเสบ **ไม่ได้ส่งผลแค่ในช่องปาก แต่ยัง เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้ด้วย
จากการทบทวนงานวิจัยจำนวนมาก พบว่าโรคทั้งสองเกี่ยวข้องกันผ่าน 3 ประเด็นหลักคือ:
- งานวิจัยในคนจำนวนมากพบว่า โรคปริทันต์อักเสบอักเสบสัมพันธ์กับโรคหัวใจจริง
- มีกลไกทางชีวภาพที่อธิบายได้ว่า** โรคปริทันต์อักเสบทำให้หลอดเลือดเสียหายได้อย่างไร**
- เมื่อรักษาโรคปริทันต์อักเสบอย่างเหมาะสม ตัวชี้วัดความเสี่ยงโรคหัวใจหลายอย่างดีขึ้น
กลไกสำคัญที่ทำให้โรคเหงือกเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ
1) เชื้อโรคในปากหลุดเข้าสู่กระแสเลือด
ในคนที่มีโรคปริทันต์อักเสบ เหงือกจะบวม แดง และมีแผลเล็ก ๆ จำนวนมากรอบฟัน เมื่อแปรงฟัน เคี้ยวอาหาร หรือใช้ไหมขัดฟัน
➡️ เชื้อแบคทีเรียจากเหงือกสามารถ “หลุดเข้าไปในเลือด” ได้ง่ายขึ้น
เชื้อเหล่านี้สามารถไปกระตุ้นการอักเสบของหลอดเลือดและเร่งการเกิดคราบไขมันในเส้นเลือด 2) ร่างกายเกิดการอักเสบเรื้อรังทั้งระบบ
โรคปริทันต์อักเสบเป็นเหมือน “แหล่งอักเสบเรื้อรัง” ของร่างกาย ทำให้เกิดผลตามมาคือ:
- ระดับสารอักเสบในเลือดสูงขึ้น
- เซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ในโหมด “ไวต่อการอักเสบ”
- ร่างกายเข้าสู่ภาวะอักเสบเรื้อรังแบบทั่วร่าง
ผลคือ
➡️ ผนังหลอดเลือดอ่อนแอและเสียหายง่ายขึ้น ➡️ เสี่ยงต่อการสะสมคราบไขมันและเกิดหลอดเลือดอุดตัน 3) เลือดหนืดขึ้น เกล็ดเลือดและไขมันทำงานผิดปกติ
ผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบมักมี:
- ระดับ ไฟบริโนเจน สูงขึ้น (โปรตีนที่เกี่ยวกับการเกิดลิ่มเลือด)
- ระดับ การกระตุ้นเกล็ดเลือด สูงขึ้น
ภาวะเหล่านี้ทำให้:
➡️ เลือด “หนืด” ➡️ จับตัวเป็นลิ่มง่ายขึ้น ➡️ เพิ่มความเสี่ยง หลอดเลือดหัวใจอุดตัน และ หลอดเลือดสมองตีบ สรุป
โรคปริทันต์อักเสบสามารถเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจได้ เพราะ:
- เชื้อโรคหลุดเข้าสู่กระแสเลือด
- ร่างกายเกิดการอักเสบเรื้อรัง
- เลือดหนืดขึ้นและเกิดลิ่มเลือดง่าย
ดังนั้น การดูแลเหงือกให้แข็งแรง ไม่ใช่แค่เพื่อฟัน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของ การป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ด้วย
บทความที่เกี่ยวข้อง

ความแตกต่างของ เหงือกสุขภาพดี เหงือกอักเสบ และปริทันต์อักเสบ : ในด้าน “จุลินทรีย์ใต้เหงือก”
โรคเหงือกทุกชนิดมี “สาเหตุหลักมาจากเชื้อจุลินทรีย์ (แบคทีเรีย)” ที่สะสมอยู่บริเวณร่องเหงือก แบคทีเรียเหล่านี้สร้างไบโอฟิล์ม (คราบจุลินทรีย์) ที่ยึดเกาะแน่น ซึ่งไม่สามารถกำจัดออกได้ด้วยการแปรงฟันเพียงอย่างเดียว เมื่อจุลินทรีย์เริ่มเสียสมดุล—ไม่ว่าจะเพิ่มจำนวนมากเกินไป หรือมีสัดส่วนของแบคทีเรียก่อโรคเพิ่มขึ้น—ร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบ เหงือกเริ่มบวมแดง และหากปล่อยไว้นาน กระดูกที่รองรับฟันจะถูกทำลายจนฟันเริ่มโยก ดังนั้น จุลินทรีย์ใต้เหงือก (Subgingival Microbiome) คือ “ตัวชี้วัดสำคัญที่สุด” ว่าเหงือกของคุณสุขภาพดีหรือกำลังมีความเสี่ยงในการเกิดโรคปริทันต์อักเสบ

ความสัมพันธ์ระหว่างเหงือกอักเสบและปริทันต์อักเสบ: จากเหงือกอักเสบเล็กน้อย สู่การสูญเสียฟันโดยไม่รู้ตัว
โรคปริทันต์เป็นโรคเหงือกที่หลายคนมองข้าม เพราะในระยะเริ่มต้น “ไม่ค่อยมีอาการเจ็บ” แต่จริง ๆ แล้วมีความซับซ้อนมาก และสามารถลุกลามจนทำให้ฟันโยกหรือฟันหลุดได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

ขูดหินปูน vs. เกลารากฟัน: ความแตกต่างที่สำคัญในการรักษาโรคเหงือก
ขูดหินปูนและเกลารากฟันเป็นหัตถการที่แตกต่างกัน แต่มีความต่อเนื่องกันในการรักษาโรคเหงือก โดยการขูดหินปูนมุ่งเน้นการทำความสะอาดคราบและหินปูนบริเวณผิวฟันและขอบเหงือก ขณะที่การเกลารากฟันเป็นการรักษาที่ลึกขึ้น ใช้ในกรณีที่โรคลุกลามลงใต้เหงือกและเริ่มกระทบต่อโครงสร้างที่ยึดฟัน