ความแตกต่างของ เหงือกสุขภาพดี เหงือกอักเสบ และปริทันต์อักเสบ : ในด้าน “จุลินทรีย์ใต้เหงือก”
โรคเหงือกทุกชนิดมี “สาเหตุหลักมาจากเชื้อจุลินทรีย์ (แบคทีเรีย)” ที่สะสมอยู่บริเวณร่องเหงือก แบคทีเรียเหล่านี้สร้างไบโอฟิล์ม (คราบจุลินทรีย์) ที่ยึดเกาะแน่น ซึ่งไม่สามารถกำจัดออกได้ด้วยการแปรงฟันเพียงอย่างเดียว เมื่อจุลินทรีย์เริ่มเสียสมดุล—ไม่ว่าจะเพิ่มจำนวนมากเกินไป หรือมีสัดส่วนของแบคทีเรียก่อโรคเพิ่มขึ้น—ร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบ เหงือกเริ่มบวมแดง และหากปล่อยไว้นาน กระดูกที่รองรับฟันจะถูกทำลายจนฟันเริ่มโยก ดังนั้น จุลินทรีย์ใต้เหงือก (Subgingival Microbiome) คือ “ตัวชี้วัดสำคัญที่สุด” ว่าเหงือกของคุณสุขภาพดีหรือกำลังมีความเสี่ยงในการเกิดโรคปริทันต์อักเสบ

ความแตกต่างของ เหงือกสุขภาพดี เหงือกอักเสบ และปริทันต์อักเสบ : ในด้าน “จุลินทรีย์ใต้เหงือก”
โรคเหงือกทุกชนิดมี “สาเหตุหลักมาจากเชื้อจุลินทรีย์ (แบคทีเรีย)” ที่สะสมอยู่บริเวณร่องเหงือก แบคทีเรียเหล่านี้สร้างไบโอฟิล์ม (คราบจุลินทรีย์) ที่ยึดเกาะแน่น ซึ่งไม่สามารถกำจัดออกได้ด้วยการแปรงฟันเพียงอย่างเดียว
เมื่อจุลินทรีย์เริ่มเสียสมดุล—ไม่ว่าจะเพิ่มจำนวนมากเกินไป หรือมีสัดส่วนของแบคทีเรียก่อโรคเพิ่มขึ้น—ร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบ เหงือกเริ่มบวมแดง และหากปล่อยไว้นาน กระดูกที่รองรับฟันจะถูกทำลายจนฟันเริ่มโยก
ดังนั้น จุลินทรีย์ใต้เหงือก (Subgingival Microbiome) คือ “ตัวชี้วัดสำคัญที่สุด” ว่าเหงือกของคุณสุขภาพดีหรือกำลังมีความเสี่ยงในการเกิดโรคปริทันต์อักเสบ ความแตกต่างของเชื้อจุลินทรีย์ใต้เหงือก ในแต่ละ ระดับของโรค ดังนี้
🟢 เหงือกสุขภาพดี (Healthy Gums) — จุลินทรีย์สมดุล ไม่ก่อการอักเสบ
จุลินทรีย์ในสภาวะสุขภาพดี
- เด่นด้วย แบคทีเรียแกรมบวก และ ใช้ออกซิเจน
- ความหลากหลายของจุลินทรีย์ต่ำ ซึ่งเป็น “สัญญาณของความสมดุล”
- เป็นกลุ่มที่ช่วยสร้างไบโอฟิล์มรูปแบบ “ไม่ก่อโรค”
ผลดีต่อเหงือก
- ไม่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ
- ช่วยรักษาสมดุลในช่องปาก
- เหงือกแข็งแรง สีชมพู ไม่บวม และไม่เลือดออกง่าย
👉 สรุป: เมื่อจุลินทรีย์อยู่ในสมดุล เหงือกก็จะสุขภาพดีตามไปด้วย 🟡 เหงือกอักเสบ (Gingivitis) — เริ่มมีจุลินทรีย์ก่อโรคเพิ่มขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์
- เริ่มมีการเพิ่มจำนวนของ แบคทีเรียแกรมลบแอนแอโรบิก
- ความหลากหลายของชนิดพันธุ์สูงขึ้นอย่างมาก
- พบเชื้อที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเพิ่มขึ้น ผลต่อเหงือก
- เหงือกแดง บวม เลือดออกง่าย
- เป็นผลจาก “การตอบสนองของเหงือกต่อจุลินทรีย์จำนวนมากที่รุกล้ำเข้ามา”
👉 สรุป: เหงือกอักเสบเกิดจากการ “เพิ่มจำนวนมากเกินไป” ของจุลินทรีย์ แต่ระยะนี้ยังไม่ทำลายกระดูก และสามารถรักษาให้หายได้ 🔴 ปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) — จุลินทรีย์เสียสมดุลรุนแรง (Dysbiosis)
ลักษณะของจุลินทรีย์ในระยะรุนแรง
- แบคทีเรียแกรมลบแอนแอโรบิกเพิ่มปริมาณสูงมาก
- ความหลากหลายโดยรวมลดลง เพราะ “เชื้อก่อโรคบางชนิดเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว”
- ชุมชนจุลินทรีย์เปลี่ยนเป็นลักษณะ Dysbiosis หรือ “เสียสมดุล”
เชื้อก่อโรคสำคัญ (Periodontal Pathogens)
- Porphyromonas gingivalis (Keystone pathogen)
- Tannerella forsythia
- Treponema denticola
ทำไม P. gingivalis อันตรายมาก?
แม้พบในปริมาณน้อย แต่สามารถ
- รบกวนระบบภูมิคุ้มกัน
- เอื้อให้เชื้อก่อโรคอื่นเติบโต
- กระตุ้นการอักเสบเรื้อรัง
- ทำลายกระดูกที่รองรับฟันอย่างต่อเนื่อง
เป็นเหตุผลว่าทำไมโรคปริทันต์อักเสบจึงเป็นโรคเรื้อรังที่ลุกลามอย่างเงียบ ๆ
👉 สรุป: ปริทันต์อักเสบเกิดจาก “จุลินทรีย์เสียสมดุลอย่างรุนแรง” ทำให้มีการละลายของกระดูกรองรับฟัน และหากไม่ได้รับการรักษา ฟันจะโยกจนต้องถอนในที่สุด ⭐ บทสรุปสำคัญที่สุด
โรคเหงือก = โรคที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์เป็นหลัก หากจัดการ “เชื้อ” ได้ ก็สามารถควบคุมโรคได้
การขูดหินปูน เกลารากฟัน การทำความสะอาดที่ถูกวิธี และการตรวจสุขภาพเหงือกอย่างสม่ำเสมอ คือ วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการควบคุมไมโครไบโอมและป้องกันโรคปริทันต์อักเสบ
บทความที่เกี่ยวข้อง

ความสัมพันธ์ระหว่างเหงือกอักเสบและปริทันต์อักเสบ: จากเหงือกอักเสบเล็กน้อย สู่การสูญเสียฟันโดยไม่รู้ตัว
โรคปริทันต์เป็นโรคเหงือกที่หลายคนมองข้าม เพราะในระยะเริ่มต้น “ไม่ค่อยมีอาการเจ็บ” แต่จริง ๆ แล้วมีความซับซ้อนมาก และสามารถลุกลามจนทำให้ฟันโยกหรือฟันหลุดได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง

โรคปริทันต์อักเสบ กับโรคหัวใจเกี่ยวข้องกันอย่างไร?
โรคปริทันต์อักเสบไม่ได้กระทบแค่เหงือกและฟัน แต่ยังส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง งานวิจัยจำนวนมากชี้ว่า ผู้ที่มีโรคปริทันต์อักเสบรุนแรงมีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงขึ้น

ความสัมพันธ์ระหว่าง “โรคปริทันต์อักเสบ” กับ “โรคเบาหวาน”
โรคปริทันต์อักเสบและโรคเบาหวานมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก การดูแลเหงือกให้แข็งแรงคือหนึ่งในกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ควบคุมโรคเบาหวานได้ดีขึ้น และลดความเสี่ยงโรครุนแรงในอนาคต