โรคปริทันต์อักเสบ คืออะไร?
โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) หรือที่หลายคนเรียกว่า “โรครำมะนาด” เป็นโรคเหงือกระยะรุนแรงที่เกิดจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรียบริเวณเหงือกและร่องลึกปริทันต์ เมื่อเกิดการอักเสบเรื้อรัง เชื้อนี้จะทำลายองค์ประกอบสำคัญที่รองรับฟัน

🦷 โรคปริทันต์อักเสบ คืออะไร?
โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) หรือที่หลายคนเรียกว่า “โรครำมะนาด” เป็นโรคเหงือกระยะรุนแรงที่เกิดจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรียบริเวณเหงือกและร่องลึกปริทันต์ เมื่อเกิดการอักเสบเรื้อรัง เชื้อนี้จะทำลายองค์ประกอบสำคัญที่รองรับฟัน ได้แก่
- เหงือก
- เอ็นปริทันต์
กระดูกเบ้าฟัน
เมื่อโครงสร้างเหล่านี้ถูกทำลาย ฟันจะเริ่ม โยก เคี้ยวไม่ถนัด มีกลิ่นปากเรื้อรัง และท้ายที่สุดอาจต้อง ถอนฟัน หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา
โรคนี้เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียฟันในผู้ใหญ่ไทย แต่ข่าวดีคือ—หากตรวจพบเร็วและรักษาอย่างถูกต้อง สามารถควบคุมโรคได้ค่ะ ⭐ ปริทันต์อักเสบเกิดจากอะไร?
สาเหตุหลัก (ต้นเหตุที่แท้จริง)
คราบจุลินทรีย์ (Plaque) บริเวณขอบเหงือกและในร่องเหงือก เป็นที่อยู่ของเชื้อแบคทีเรียจำนวนมาก เมื่อสะสมมากขึ้นจะทำให้เหงือกอักเสบ และค่อย ๆ ลุกลามไปทำลายกระดูกรองรับฟัน สาเหตุเสริมที่ทำให้ปริทันต์อักเสบรุนแรงขึ้น
แม้ คราบจุลินทรีย์ คือสาเหตุหลักของโรคเหงือก แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้การอักเสบรุนแรงเร็วขึ้น และทำให้การรักษายากขึ้น ได้แก่:
🔹 1) ปัจจัยที่เกี่ยวกับนิสัยหรือพฤติกรรม
- สูบบุหรี่ ทำให้เลือดมาเลี้ยงเหงือกน้อยลง ลดภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความเสี่ยงฟันโยกหลายเท่า
- ความเครียด ทำให้ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้เชื้อแบคทีเรียก่อโรคได้ง่ายขึ้น
🔹 2) ปัจจัยที่เกี่ยวกับในช่องปาก
- หินปูนหรือหินน้ำลาย เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบต่อเนื่อง
- ฟันซ้อน ฟันเก ทำความสะอาดยาก → เชื้อสะสมง่าย
- ใส่ฟันปลอม หรือครอบฟันที่ทำความสะอาดยาก มีช่องว่างเล็ก ๆ ที่เชื้อเข้าไปสะสมได้
- ติดเครื่องมือจัดฟัน เพิ่มบริเวณ retention ของเชื้อ ทำให้ต้องดูแลความสะอาดเป็นพิเศษ
🔹 3) ปัจจัยด้านสุขภาพร่างกาย
- เบาหวานควบคุมไม่ดี ร่างกายอักเสบง่ายขึ้น เหงือกหายช้าลง และโรคปริทันต์ลุกลามเร็วขึ้น
- ภาวะน้ำลายน้อย น้ำลายมีหน้าที่ล้างเชื้อโรค พอน้อยลงเชื้อจะเพิ่มจำนวนได้ง่าย
🔹 4) ปัจจัยจากยาบางชนิด
ยาบางชนิดทำให้เหงือกบวม หรือลดภูมิคุ้มกัน เช่น:
- ยากดภูมิคุ้มกัน
- ยากันชัก
- ยาควบคุมความดันบางชนิด (เช่น Amlodipine)
🔹 5) ปัจจัยทางพันธุกรรม
- บางรายมีพันธุกรรมที่ทำให้ตอบสนองต่อเชื้อแบคทีเรียแรงกว่าปกติ เหงือกจึงอักเสบง่าย แม้จะมีคราบจุลินทรีย์ไม่มาก
โรคปริทันต์ไม่ได้เกิดใน “คืนเดียว” แต่มักลุกลามช้า ๆ โดยไม่มีอาการเจ็บ ทำให้หลายคนไม่รู้ตัวว่าตนเองป่วยอยู่ค่ะ 🔎 อาการของปริทันต์อักเสบที่ควรสังเกต
แม้โรคนี้แทบไม่เจ็บ แต่จะมีสัญญาณเตือนสำคัญ ได้แก่:
- เหงือกแดง บวม เจ็บ
- เลือดออกง่ายเวลาแปรงฟัน
- เหงือกร่น ฟันดูยาวขึ้น
- มีกลิ่นปากเรื้อรัง
- มีหนองออกจากเหงือก
- เคี้ยวแล้วเจ็บ หรือรู้สึกเหมือนฟัน “สั่น”
- ฟันเริ่มโยก
หากพบหลายอาการร่วมกัน มีโอกาสสูงว่าโรคได้เข้าสู่ระยะปริทันต์อักเสบแล้ว ❗ ถ้าไม่รักษาจะเกิดอะไรขึ้น?
โรคปริทันต์อักเสบจะลุกลามเรื่อย ๆ และทำให้เกิดผลกระทบดังนี้:
• กระดูกเบ้าฟันละลายอย่างต่อเนื่อง • ฟันโยกและเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม • ฟันหลุดหรือจำเป็นต้องถอน • กลิ้นปากแรงและเรื้อรัง • เสี่ยงต่อโรคระบบ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือการคลอดก่อนกำหนด
โรคนี้ไม่ได้กระทบแค่ช่องปาก แต่ส่งผลต่อสุขภาพทั้งร่างกายค่ะ 🦷 วิธีรักษาปริทันต์อักเสบ
การรักษาขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง โดยมาตรฐานประกอบด้วย:
1) ขูดหินปูนและเกลารากฟัน (Scaling & Root Planing)
ขจัดคราบจุลินทรีย์และหินปูนที่สะสมใต้เหงือก เพื่อให้เหงือกแนบกับฟันได้ดีขึ้น เป็นการรักษาหลักที่สำคัญที่สุดในระยะแรก
2) ยาปฏิชีวนะเฉพาะราย
ช่วยลดจำนวนเชื้อก่อโรคในบริเวณร่องลึกปริทันต์
3) ผ่าตัดปริทันต์ (Periodontal Surgery)
กรณีที่ร่องลึกมากจนการเกลารากฟันทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้
4) การปลูกกระดูกหรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่
เช่น เทคนิค GTR หรือโปรตีนกระตุ้นการงอกของเนื้อเยื่อ ช่วยฟื้นฟูบริเวณที่ถูกทำลาย
5) การดูแลต่อเนื่องทุก 3–6 เดือน
โรคปริทันต์เป็นโรคเรื้อรัง หากไม่มาติดตามสม่ำเสมอ โรคจะกลับมาได้ง่ายมาก ⭐ ปริทันต์อักเสบป้องกันได้ไหม?
ได้แน่นอนค่ะ และเป็นการป้องกันที่ทำได้ง่ายกว่าที่คิด
• แปรงฟันให้ถูกวิธี วันละ 2 ครั้ง • ใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน • ขูดหินปูนและตรวจสุขภาพเหงือกเป็นประจำ • งดสูบบุหรี่ • ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน • เข้าพบทันตแพทย์เฉพาะทางหากมีอาการผิดปกติเล็กน้อย
การดูแลต่อเนื่อง คือกุญแจสำคัญในการรักษาฟันของคุณให้อยู่ไปจนถึงวัยชรา 🩵 ข้อคิดจากทันตแพทย์เฉพาะทางโรคเหงือก
โรคปริทันต์อักเสบเป็น “โรคเงียบ” ที่ค่อย ๆ ทำลายกระดูกโดยที่เราไม่รู้ตัว ยิ่งตรวจพบเร็ว → ยิ่งรักษาง่าย ยิ่งปล่อยไว้นาน → เสี่ยงฟันโยกและสูญเสียฟันมากขึ้น
หากคุณมีอาการ เหงือกบวม เลือดออก ฟันโยก หรือกลิ่นปากไม่หาย การเข้าตรวจสุขภาพเหงือกกับผู้เชี่ยวชาญจะช่วยหยุดโรคได้ตั้งแต่ต้นค่ะ 💙
บทความที่เกี่ยวข้อง

ความแตกต่างของ เหงือกสุขภาพดี เหงือกอักเสบ และปริทันต์อักเสบ : มองในมุมอาการทางคลินิก
สุขภาพเหงือกเป็นพื้นฐานสำคัญของสุขภาพช่องปากทั้งหมด เพราะมีผลโดยตรงต่อการเก็บรักษาฟัน การเคี้ยวอาหาร และสุขภาพร่างกายโดยรวม แต่สิ่งที่หลายคนไม่ทราบคือ สภาวะเหงือกแต่ละระดับ—เหงือกสุขภาพดี เหงือกอักเสบ และปริทันต์อักเสบ—มีความแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งทางคลินิกและระดับจุลินทรีย์ใต้เหงือก บทความนี้จะช่วยให้คุณแยกแยะทั้งสามสภาวะได้ง่ายขึ้น เพื่อจะได้ดูแลเหงือกของตัวเองได้อย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น

ขูดหินปูน vs. เกลารากฟัน: ความแตกต่างที่สำคัญในการรักษาโรคเหงือก
ขูดหินปูนและเกลารากฟันเป็นหัตถการที่แตกต่างกัน แต่มีความต่อเนื่องกันในการรักษาโรคเหงือก โดยการขูดหินปูนมุ่งเน้นการทำความสะอาดคราบและหินปูนบริเวณผิวฟันและขอบเหงือก ขณะที่การเกลารากฟันเป็นการรักษาที่ลึกขึ้น ใช้ในกรณีที่โรคลุกลามลงใต้เหงือกและเริ่มกระทบต่อโครงสร้างที่ยึดฟัน

ปากเหม็นตลอดเวลา เกี่ยวกับโรคเหงือกหรือไม่?
ปากเหม็นตลอดเวลาอาจเกิดจากโรคเหงือกหรือปริทันต์อักเสบ บทความนี้อธิบายสาเหตุ กลไก และวิธีรักษากลิ่นปากจากต้นเหตุ