ฟันโยกเกิดจากอะไร?
ฟันโยกไม่ใช่เรื่องปกติ แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคปริทันต์อักเสบ บทความนี้ช่วยให้เข้าใจสาเหตุ อาการ และแนวทางรักษาก่อนสูญเสียฟัน

ฟันโยกเกิดจากอะไร? สัญญาณเตือนของโรคปริทันต์ที่หลายคนมองข้าม
หลายคนเริ่มสังเกตว่าฟันของตัวเอง ขยับได้ เวลากัดแล้วรู้สึกไม่แน่น หรือเคี้ยวแล้วรู้สึกแปลก ๆ แต่กลับคิดว่า “น่าจะเป็นเพราะอายุมากขึ้น” “เดี๋ยวก็หาย”
ในความเป็นจริงแล้ว 👉 ฟันโยกไม่ใช่เรื่องปกติ และมักเป็นสัญญาณเตือนสำคัญของ โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียฟันในผู้ใหญ่ 🔍 ฟันโยกคืออะไร?
ฟันปกติจะถูกยึดอยู่กับกระดูกด้วย
- เหงือก
- เอ็นปริทันต์
- กระดูกเบ้าฟัน
เมื่อโครงสร้างเหล่านี้แข็งแรง ฟันจะ แน่น ไม่ขยับ
แต่ถ้าโครงสร้างถูกทำลาย ฟันจะเริ่ม โยก ขยับ หรือเคลื่อนตำแหน่งได้
⚠️ สาเหตุที่พบบ่อยของฟันโยก
1️. โรคปริทันต์อักเสบ (สาเหตุหลักที่สุด)
โรคปริทันต์เกิดจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรียใต้เหงือก ทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง และ กระดูกที่รองรับฟันค่อย ๆ ละลาย
เมื่อกระดูกหายไป ฟันจึงสูญเสียฐานยึดและเริ่มโยก
📌 นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งของฟันโยกในผู้ใหญ่ 2️. ปล่อยให้เหงือกอักเสบเรื้อรังโดยไม่รักษา
เหงือกอักเสบในระยะแรกอาจไม่เจ็บ แต่ถ้าปล่อยไว้นาน จะลุกลามลงลึกและกลายเป็นปริทันต์อักเสบ
ฟันจะเริ่มโยก โดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว **3️. แรงกัดหรือการใช้งานฟันที่ผิดปกติ **เช่น
- นอนกัดฟัน
- ฟันสบไม่ดี เกิดการสบกระแทก
- เคี้ยวข้างเดียวเป็นเวลานาน
แรงที่มากเกินไปจะยิ่งเร่งให้ฟันที่มีฐานยึดอ่อนแอ โยกเร็วขึ้น 4️. อุบัติเหตุหรือการกระแทก
ฟันที่ได้รับแรงกระแทกอาจโยกได้ แต่กรณีนี้มักมีประวัติชัดเจนและเกิดเฉียบพลัน ต่างจากฟันโยกจากโรคปริทันต์ที่เกิดแบบค่อยเป็นค่อยไป ❗ สัญญาณเตือนที่มักมาก่อน “ฟันโยก”
หลายคนไม่รู้ว่า ก่อนฟันจะโยก มักมีอาการเหล่านี้มาก่อน:
- เหงือกบวม แดง เลือดออก
- เหงือกร่น ฟันดูยาวขึ้น
- มีกลิ่นปากเรื้อรัง
- มีหนองซึมจากเหงือก
- รู้สึกเคี้ยวไม่แน่นเหมือนเดิม
หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับฟันเริ่มขยับ 👉 ควรรีบตรวจสุขภาพเหงือกทันที 🦷 ฟันโยกจากโรคปริทันต์อักเสบ รักษาได้ไหม?
ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรค
- ถ้าตรวจพบเร็ว และกระดูกยังละลายไม่มาก 👉 สามารถ หยุดโรค ควบคุมการอักเสบ และลดการโยกได้
- ถ้าปล่อยไว้นาน กระดูกหายไปมาก 👉 อาจไม่สามารถรักษาฟันซี่นั้นไว้ได้
📌 ยิ่งมาพบทันตแพทย์เฉพาะทางโรคเหงือกเร็ว → โอกาสเก็บฟันยิ่งสูง ✅ ควรทำอย่างไรเมื่อเริ่มรู้สึกว่าฟันโยก?
คำแนะนำจากทันตแพทย์เฉพาะทางโรคเหงือก:
- อย่ารอให้ฟันโยกมากหรือเจ็บ
- เข้ารับการตรวจปริทันต์อย่างละเอียด
- เอกซเรย์ประเมินระดับกระดูก
- รักษาโรคปริทันต์อย่างเหมาะสม (เช่น ขูดหินปูนลึก เกลารากฟัน)
- ติดตามการรักษาและดูแลอย่างต่อเนื่อง
🩵 ข้อคิดจากทันตแพทย์เฉพาะทางโรคเหงือก
ฟันโยกไม่ใช่ผลของอายุ แต่เป็นสัญญาณของโรค
ถ้าเรามองข้าม โรคจะค่อย ๆ ทำลายกระดูกโดยไม่ส่งเสียงเตือน แต่ถ้าเรารู้ทันตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ฟันจำนวนมากสามารถรักษาให้อยู่กับเราไปได้นาน
หากคุณเริ่มรู้สึกว่าฟันไม่แน่นเหมือนเดิม อย่ารอให้สายเกินไป การตรวจสุขภาพเหงือกกับทันตแพทย์เฉพาะทาง อาจช่วยรักษาฟันของคุณไว้ได้มากกว่าที่คุณคิดค่ะ 🦷💙
บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคเหงือกอักเสบ/โรคปริทันต์อักเสบ ทำไมถึงมีผลกระทบทั้งร่างกาย?
เพราะมันไม่ใช่แค่โรคในช่องปาก แต่เป็น “โรคอักเสบเรื้อรังของทั้งร่างกาย” เมื่อเหงือกเกิดการอักเสบ เชื้อแบคทีเรียและสารอักเสบสามารถเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดการอักเสบของร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่เชื่อมโยงเหงือกกับโรคเรื้อรังหลายระบบ

ความแตกต่างของ เหงือกสุขภาพดี เหงือกอักเสบ และปริทันต์อักเสบ : ในด้าน “จุลินทรีย์ใต้เหงือก”
โรคเหงือกทุกชนิดมี “สาเหตุหลักมาจากเชื้อจุลินทรีย์ (แบคทีเรีย)” ที่สะสมอยู่บริเวณร่องเหงือก แบคทีเรียเหล่านี้สร้างไบโอฟิล์ม (คราบจุลินทรีย์) ที่ยึดเกาะแน่น ซึ่งไม่สามารถกำจัดออกได้ด้วยการแปรงฟันเพียงอย่างเดียว เมื่อจุลินทรีย์เริ่มเสียสมดุล—ไม่ว่าจะเพิ่มจำนวนมากเกินไป หรือมีสัดส่วนของแบคทีเรียก่อโรคเพิ่มขึ้น—ร่างกายจะตอบสนองด้วยการอักเสบ เหงือกเริ่มบวมแดง และหากปล่อยไว้นาน กระดูกที่รองรับฟันจะถูกทำลายจนฟันเริ่มโยก ดังนั้น จุลินทรีย์ใต้เหงือก (Subgingival Microbiome) คือ “ตัวชี้วัดสำคัญที่สุด” ว่าเหงือกของคุณสุขภาพดีหรือกำลังมีความเสี่ยงในการเกิดโรคปริทันต์อักเสบ

โรคปริทันต์อักเสบ คืออะไร?
โรคปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) หรือที่หลายคนเรียกว่า “โรครำมะนาด” เป็นโรคเหงือกระยะรุนแรงที่เกิดจากการสะสมของเชื้อแบคทีเรียบริเวณเหงือกและร่องลึกปริทันต์ เมื่อเกิดการอักเสบเรื้อรัง เชื้อนี้จะทำลายองค์ประกอบสำคัญที่รองรับฟัน